เนื้อหาเว็บ
มโนราห์
โนรา หรือ มโนห์รา (เขียนเป็น มโนรา หรือ มโนราห์ ก็ได้) เป็นการละเล่นพื้นเมืองที่สืบทอดกันมานาน และนิยมกันอย่างแพร่หลายใน ภาคใต้ เป็นการละเล่นที่มีทั้งการร้อง การรำ บางส่วนเล่นเป็นเรื่อง และบางโอกาสมีบางส่วน แสดงตามคติความเชื่อที่เป็นพิธีกรรม
โนรา เป็นศิลปะพื้นเมืองภาคใต้เรียกว่า โนรา แต่ คำว่า มโนราห์ หรือ มโนห์รา นั้น เป็นคำที่เกิด ขึ้น
เมื่อสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยการนำเอา เรื่อง พระสุธน-มโนราห์ มาแสดงเป็นละครชาตรี จึงมีคำเรียกว่า มโนราห์ ส่วนกำเนิดของโนรานั้น สันนิษฐานกันว่าได้รับอิทธิพลจากการ ร่ายรำของอินเดียโบราณก่อนสมัยศรีวิชัย ที่มา จากพ่อค้าชาวอินเดีย สังเกตได้จากเครื่องดนตรีที่ เรียกว่า เบ็ญจสังคีตซึ่งประกอบโหม่ง ฉิ่ง ทับ กลอง ปี่ ใน ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีโนรา และท่ารำของโนรา อีกหลายท่าที่ละม้ายคล้ายคลึงกับการร่ายรำของ ทางอินเดีย และเริ่มมีโนราเป็นกิจลักษณะขึ้นเมื่อ ประมาณปี พุทธศักราชที่ 1820 ซึ่งตรงกับสมัยสุโขทัยตอนต้น
องค์ประกอบหลักของการแสดงโนรา ซึ่งเป็นการแสดงเพื่อ ให้ความบันเทิงโดยตรง มีดังนี้
1. การรำ โนรา แต่ละตัวต้องรำอวดความชำนาญและความสามารถ เฉพาะตน โดยการรำประสมท่าต่าง ๆ เข้าด้วย กันอย่างต่อเนื่องกลมกลืน แต่ละท่ามีความ ถูกต้องตามแบบฉบับ มีความคล่องแคล่วชำนาญ ที่จะเปลี่ยนลีลาให้เข้ากับจังหวะดนตรีและต้อง รำให้สวยงามอ่อนช้อยหรือกระฉับกระเฉงเหมาะแก่กรณี บางคนอาจอวดความสามารถในเชิงรำเฉพาะด้าน เช่น การเล่นแขน การทำให้ตัวอ่อน การรำ ท่าพลิกแพลง เป็นต้น
2. การร้อง โนราแต่ละตัวจะ ต้องอวดลีลาการร้องรับบทกลอนในลักษณะต่าง ๆ เช่น เสียงไพเราะดังชัดเจนจังหวะการร้องขับ ถูกต้องเร้าใจ มีปฏิภาณในการคิดกลอนรวด เร็ว ได้เนื้อหาดี สัมผัสดี มีความสามารถใน การร้องโต้ตอบ แก้คำอย่างฉับพลัน และคม คาย เป็นต้น
3. การทำบท เป็นการอวดความสามารถใน การตีความหมายของบทร้องเป็นท่ารำ ให้ คำร้องและท่ารำสัมพันธ์กัน ต้องตีท่าให้ พิสดารหลากหลายและครบถ้วนตามคำร้องทุกถ้อยคำ ต้องขับบทร้อง และตีท่ารำให้ประสมกลม กลืนกับจังหวะและลีลาของดนตรีอย่างเหมาะเหม็ง การทำบทจึงเป็นศิลปะสุดยอดของโนรา
4. การรำเฉพาะอย่าง นอกจากโนราแต่ละคนจะ ต้องมีความสามารถในการรำ การร้อง และการ ทำบท ดังกล่าวแล้ว ยังต้องฝึกการรำเฉพาะ อย่าง ให้เกิดความชำนาญเป็นพิเศษด้วย ซึ่งการรำ เฉพาะอย่างนี้ อาจใช้แสดงเฉพาะโอกาส เช่น รำใน พิธีไหว้ครู บาง อย่างใช้รำเฉพาะเมื่อมีการประชันโรง บางอย่าง ใช้ไนโอกาสรำลงครู - หรือโรงครู หรือ รำแก้บน เป็นต้น การรำเฉพาะอย่าง มีดังนี้
1. รำบทครูสอน 6. รำขอเทริด
2. รำบทปฐม 7. รำ เฆี่ยนพรายและเหยียบลูกนาว (เหยียบมะนาว)
3. รำเพลงทับเพลง โทน 8. รำ แทงเข้ (แทงจระเข้)
4. รำเพลงปี่ 9. รำคล้องหงส์
5. รำเพลงโค 10. รำบท สิบสองหรือรำสิบสองบท
5. การเล่นเป็นเรื่อง โดยปกติโนราไม่เน้นการเล่นเป็นเรื่อง แต่ถ้า มีเวลาแสดงมากพอ หลังจากอวดการรำการ ร้องและการทำบทแล้ว อาจแถมการเล่นเป็น เรื่องให้ดู เพื่อความสนุกสนาน โดยเลือกเรื่องที่ รู้ดีกันแล้วบางตอนมาแสดง เลือกเอาแต่ ตอนที่ต้องใช้ตัวแสดงน้อย ๆ (2 คน) ไม่เน้นที่การแต่งตัวตามเรื่อง มักแต่งตามที่แต่งรำอยู่แล้ว แล้วสมมุติเอา ว่าใครเป็นใครแต่จะเน้นการตลกและการ ขับบทกลอนแบบโนราให้ได้เนื้อหาตามท้อง เรื่อง
เครื่องแต่งกายของโนรา ประกอบด้วยสิ่งสำคัญต่อ ไปนี้
1. เทริด(อ่านว่าเซิด) เป็นเครื่องประดับศรีษะของตัวนายโรงหรือโนราใหญ่หรือตัวยืนเครื่อง ( โบราณไม่นิยม ให้นางรำใช้) ทำเป็นรูปมงกุฎเตี้ย มีกรอบหน้า มีด้ายมงคลประกอบ
2. เครื่องลูกปัด เครื่องลูกปัดจะร้อยด้วยลูกปัดสีเป็นลายมีดอกดวง ใช้สำหรับสวมลำตัวท่อนบนแทนแขนเสื้อ ประกอบ ด้วยชิ้นสำคัญ 5 ชิ้น คือ
บ่า สำหรับสวมทับบน บ่าซ้าย-ขวา รวม 2 ชิ้น
ปิ้งคอ สำหรับสวม ห้อยคอหน้า-หลัง คล้ายกรองคอ รวม 2 ชิ้น
พานอก ร้อยลูกปัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ใช้พันรอบตัวตรงระดับอก บางถิ่นเรียกว่า "พานโครง" บางถิ่นเรียกว่า "รอบอก "
เครื่องลูกปัดนี้ใช้เหมือนกันทังตัวยืน และตัวนาง(รำ) แต่มีช่วงหนึ่งที่ คณะชาตรีในมณฑลศรีธรรมราชใช้อินทรธนู ซับทรวง(ทับทรวง) ปีกเหน่ง แทนเครื่องลูก ปัดสำหรับตัวยืนเครื่อง
3. ปีกนกแอ่น หรือ ปีกเหน่ง มักทำด้วยแผ่นเงินเป็นรูปคล้ายนก นางแอ่นกำลังกางปีก ใช้สำหรับ โนราใหญ่หรือตัวยืน เครื่องสวมติดกับสังวาลย์อยู่ที่ระดับเหนือสะเอวด้าน ซ้ายและ ขวา คล้ายตาบทิศของละคร
4. ซับ ทรวง หรือทับทรวง หรือตาบ สำหรับสวมห้อยไว้ตรง ทรวงอก นิยมทำด้วยแผ่นเงินเป็นรูปคล้ายขนม เปียกปูนสลักเป็นลวดลาย และอาจฝังเพชรพลอย เป็นดอกดวงหรืออาจร้อยด้วยลูกปัด นิยมใช้ เฉพาะตัวโนราใหญ่หรือตัวยืนเครื่อง ตัวนางไม่ ใช้ซับทรวง
5. ปีก หรือที่ชาวบ้าน เรียกว่า หางหรือหางหงส์ นิยมทำด้วยเขาควาย หรือโลหะเป็นรูปคล้ายปีกนก 1 คู่ ซ้าย ขวา ประกอบกัน ปลายปีกเชิดงอนขึ้นและผูกรวมกัน ไว้ มีพู่ทำด้วยด้ายสีติดไว้ เหนือปลาย ปีก ใช้ลูกปัดร้อยห้อยเป็นดอกดวงรายตลอด ทั้งข้างซ้าย และขวาให้ดูคล้ายขนของนก ใช้สำหรับสวมคาดทับผ้านุ่งตรงระดับ สะเอว ปล่อย ปลายปีกยื่นไปด้านหลังคล้ายหางกินรี
6. ผ้านุ่ง เป็นผ้ายาวสี่เหลี่ยมผืนผ้า นุ่ง ทับชายแล้วรั้งไปเหน็บไว้ข้างหลัง ปล่อยปลาย ชายให้ห้อยลงเช่นเดียวกับหางกระเบนเรียกปลาย ชายที่พับแล้วห้อยลงนี้ว่า "หางหงส์ " (แต่ชาวบ้านส่วน มากเรียกปีกว่า หาง หงส์) การนุ่งผ้าของโนราจะรั้งสูงและ รัดรูปแน่นกว่านุ่งโจงกระเบน
7. หน้า เพลา เหน็บเพลา หนับเพลา ก็ว่า คือ สนับเพลา สำหรับ สวมแล้วนุ่งผ้าทับ ปลายขาใช้ลูกปัดร้อย ทับหรือร้อยแล้ว ทาบ ทำเป็นลวดลายดอกดวง เช่น ลายกรวยเชิงรักร้อย
8. หน้าผ้า ลักษณะเดียวกับชายไหว ถ้าเป็นของโนราใหญ่ หรือ นายโรงมักทำด้วยผ้าแล้วร้อยลูกปัดทาบ เป็นลวดลาย ทื่ทำเป็นผ้า 3 แถบ คล้ายชาย ไหวล้อมด้วยชายแครงก็มี ถ้าเป็นของนางรำ อาจใช้ผ้าพื้นสีต่าง ๆ สำหรับคาดห้อยเช่น เดียวกับชายไหว
9. ผ้าห้อย คือ ผ้า สีต่าง ๆ ที่คาดห้อยคล้ายชายแครง แต่อาจ มีมากกว่า โดยปกติจะใช้ผ้าที่โปร่งบาง สีสด แต่ละผืนจะเหน็บห้อย ลงทั้งด้าน ซ้าย เละด้านขวาของหน้าผ้า
10. กำไล ต้นแขนและปลายแขน เป็นกำไลสวมต้นแขน เพื่อ ขบรัดกล้ามเนื้อให้ดูทะมัดทะแมงและเพิ่มให้สง่า งามยิ่งขึ้น
11. กำไล กำไลของโนรามัก ทำด้วยทองเหลือง ทำเป็น วงแหวน ใช้สวมมือ และเท้าข้างละหลาย ๆ วง เช่นแขนแต่ละ ข้าง อาจสวม 5-10 วงซ้อนกัน เพื่อเวลา ปรับเปลี่ยนท่าจะได้มีเสียงดังเป็นจังหวะเร้า ใจยิ่งขึ้น
12. เล็บ เป็นเครื่องสวมนิ้ว มือให้โค้งงาม คล้ายเล็บกินนร กินรี ทำด้วยทอง เหลืองหรือเงิน อาจต่อปลายด้วยหวายที่มีลูก ปัดร้อย สอดสีไว้พองาม นิยมสวมมือละ นิ้ว (ยกเว้นหัวแม่มือ)
เครื่องแต่ง กายโนราตามรายการที่ 1 ถึงที่ 12 รวม เรียกว่า "เครื่องใหญ่" เป็นเครื่องแต่งกายของ ตัวยืนเครื่องหรือโนราใหญ่ ส่วนเครื่องแต่งกายของ ตัวนางหรือนางรำ เรียกว่า "เครื่องนาง" จะ ตัดเครื่องแต่งกายออก 3 อย่าง คือ เทริด (ใช้ ผ้าแถบสีสดหรือผ้าเช็ดหน้าคาดรัดแทน) กำไลต้นแขน ซับทรวง และปีก นกแอ่น (ปัจจุบัน นางรำทุกคนนิยมสวมเทริดด้วย)
13. หน้าพราน เป็นหน้ากากสำหรับตัว "พราน" ซึ่ง เป็นตัวตลก ใช้ไม้แกะเป็นรูปใบหน้า ไม่ มีส่วนที่เป็นคาง ทำจมูกยื่นยาว ปลายจมูก งุ้มเล็กน้อย เจาะรูตรงส่วนทื่เป็นตาดำ ให้ผู้สวมมองเห็นได้ถนัด ทาสีแดงทั้งหมด เว้นแต่ส่วนที่เป็น ฟันทำด้วยโลหะสีขาว หรือทาสีขาว หรืออาจเลี่ยมฟัน (มีเฉพาะ ฟัน บน) ส่วนบนต่อจากหน้าผากใช้ขนเป็ด สีขาวติดทาบไว้ต่างผมหงอก
14. หน้าทาสี เป็นหน้ากากของตัวตลกหญิง ทำเป็น หน้าผู้หญิง มักทาสีขาวหรือสีเนื้อ
รองเง็ง
รองเง็งเป็นศิลปะเต้นรำพื้นเมืองของไทยมุสลิมในแถบสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตลอดจน
เมืองต่างๆของมาเลเซียตอนเหนือ ล้วนเป็นที่นิยมทั่วไปและแพร่ไปถึงอินโดนีเซีย (ประทุม ชุ่มเพ็งพันธุ์. 2548, 248) ซึ่งเป็นการเต้นรำที่มีความสวยงามทั้งลีลาการเคลื่อนไหวของเท้า มือ ลำตัว และการแต่งกายคู่ชายหญิง
กล่าวกันว่า การเต้นรองเง็งสมัยโบราณเป็นที่นิยมในบ้านขุนนางหรือหรือเจ้าเมืองในแถบสี่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เช่น ที่บ้านพระยาพิพิธเสนามาตย์ เจ้าเมืองยะหริ่ง สมัยก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครอง (พ.ศ. 2439-2448) มีการฝึกรองเง็งโดยหญิงสาวซึ่งเป็นข้าทาสบริวารฝึกรองเง็ง เพื่อไว้ต้อนรับแขกเหรื่อในงานรื่นเริงหรืองานพิธีต่างๆเป็นประจำ
โอกาสที่ใช้แสดง
เดิมรองเง็งใช้แสดงในการต้นรับแขกเมืองในงานพิธีต่างๆ ต่อมานิยมแสดงในงานรื่นเริง งานประจำปี
การแต่งกาย
ผู้เต้นรองเง็งส่วนใหญ่แต่งกายแบบพื้นเมือง โดย
ผู้ชาย สวมหมวกหนีบไม่มีปีก หรือที่เรียกหมวกแขกสีดำ หรือที่ศีรษะอาจจะสวม “ชะตางัน” หรือโพกผ้าแบบเจ้าบ่าวมุสลิมก็ได้ นุ่งกางเกงขากว้างคล้ายกางเกงขาก๊วยของคนจีน ใส่เสื้อคอกลมแขนยาวผ่าครึ่งอกสีเดียวกับกางเกง ใช้โสร่งแคบๆยาวเหนือเข่าสวมทับกางเกง เรียก “ผ้าสิลินัง” หรือ “ผ้าซาเลนดัง” มักทำด้วยผ้าซอแก๊ะ ถ้าเป็นเจ้านายหรือผู้ดีมีเงินมักเป็นผ้าไหมยกดอกดิ้นทองดิ้นเงิน ฐานะรองลงมาใช้ผ้าไหมเนื้อดีตาโตๆ ถัดมาเป็นผ้าธรรมดา
ผู้หญิง ใส่เสื้อเข้ารูปแขนกระบอก เรียกเสื้อ “บันดง” ลักษณะเสื้อแบบเข้ารูปปิดสะโพก ผ่าอกตลอด ติดกระดุมทองเป็นระยะ สีเสื้อสดสวยและเป็นสีเดียวกับ “ผ้าปาเต๊ะยาวอ” หรือ “ผ้าซอแก๊ะ” ซึ่งนุ่งกรอมเท้า นอกจากนั้นยังมีผ้าคลุมไหล่บางๆสีตัดกับเสื้อที่สวม (ชวน เพชรแก้ว. 2523, 139)
เนื้อเพลงและจังหวะการเต้น
เพลงลาฆูดูวอ เพลงนี้เป็นเพลงท่าเต้น ถ้าจะแปลก็หมายถึง “เพลงที่สอง” ไม่มีความหมายนัก
ตัวอย่างเนื้อเพลง
ฮาตูซัยตัน มูกอบีรู
ตูรนกือตำเนาะฮ์ ซื่อกัยมืองารู
ซายะปากัยจือปากอบีรู
ซูติงดีซานอซินิงบรือบาฮู
ภูติพรายหน้าตาฉาบสีขาบขัน
สู่ดินดลหวังหมายทำลายสิ้น
ดอกจำปาสีน้ำเงินเป็นปีกบิน
อยู่ถิ่นนั้นหอมกลิ่นมาถิ่นนี้
จังหวะการเต้น เมื่อดนตรีขึ้นเพลง ฝ่ายชายจะโค้งฝ่ายหญิง แล้วสองฝ่ายจะเดินเข้ามากลางวง ยืนหันหน้าเข้าหากัน และเริ่มด้วยการเล่นเท้าอยู่กับที่ จากนั้นแสดงลวดลายด้วยการเต้าเข้าหากัน เต้นถอยหลังและเต้นตามกัน ฝ่ายชายตาม ฝ่ายหญิงรุกชิดๆกัน หญิงจะเป็นฝ่ายถอยและหมุนจนเกือบจบเพลง เพลงจะเปลี่ยนเป็นจังหวะเร็ว ทุกคู่เปลี่ยนท่าเต้น ถึงตอนนี้ใครที่ไม่ชอบจังหวะเร็วจะเลิกก่อนก็ได้ ใครที่ถนัดเต้นก็เต้นต่อไปจนจบเพลง ความสวยและความน่าดูของเพลงนี้อยู่ตรงตอนจะจบจังหวะเร็วนี้
หนังตะลุง
ขั้นตอนและโอกาสการแสดงหนังตะลุง
หนังตะลุงทุกคณะมีลำดับขั้นตอนในการแสดงเหมือนกันจนถือเป็นธรรมเนียมนิยม ดังนี้
1. ตั้งเครื่อง
2. แตกแผง หรือแก้แผง
3. เบิกโรง
4. ลงโรง
5. ออกลิงหัวค่ำ เป็นธรรมเนียมของหนังในอดีต ลิงดำเป็นสัญลักษณ์ของอธรรม ลงขาวเป็นสัญลักษณ์ของธรรมะ เกิดสู้รบกัน ฝ่ายธรรมะก็มีชัยชนะแก่ฝ่ายอธรรม ออกลิงหัวค่ำยกเลิกไปไม่น้อยกว่า 70 ปีแล้ว ช่วงชีวิตของผู้เขียนไม่เคยเห็นลิงดำลิงขาวที่สู้รบกันเลย เพียงได้รับการบอกเล่าจากผู้สูงอายุ 90 ปีขึ้นไป
6.. ออกฤาษี หรือ ชักฤาษี
ฤาษี เป็นรูปครู มีความขลังและศักดิ์สิทธิ์สามารถป้องปัดเสนียดจัญไร และ ภยันตรายทั้งปวง ทั้งช่วยดลบันดาลให้หนังแสดงได้ดี เป็นที่ชื่นชมของคนดู รูปฤาษีรูปแรกออกครั้งเดียว นอกจากประกอบพิธีตัดเหมรยเท่านั้น
7. ออกรูปพระอิศวร หรือรูปโค
รูปพระอิศวรของหนังตะลุง ถือเป็นรูปศักดิ์สิทธิ์ และเป็นเทพเจ้าแห่งความบันเทิง ทรงโคอุสุภราชหรือนนทิ หนังเรียกรูปพระอิศวรว่ารูปพระโคหรือรูปโค หนังคณะใดสามารถเลือกหนังวัวที่มีเท้าทั้ง 4 สีขาว โหนกสีขาว หน้าผากรูปใบโพธิ์สีขาว ขนหางสีขาว วัวประเภทนี้หายากมาก ถือเป็นมิ่งมงคล ตำราภาคใต้ เรียกว่า "ตีนด่าง หางดอก หนอกพาดผ้า หน้าใบโพธิ์"
โคอุสุภราชสีเผือกแต่ช่างแกะรูปให้วัวเป็นสีดำนิล เจาะจงให้สีตัดกับสีรูปพระอิศวร ตามลัทธิพราหมณ์พระอิศวรมี 4 พระกร ถือตรีศูล ธนู คฑา และ บาศ พระอิศวรรูปหนังตะลุงมีเพียง 2 กร ถือจักร และ พระขรรค์ เพื่อให้รูปกะทัดรัดสวยงาม
8. ออกรูปฉะ หรือรูปจับ "ฉะ" หมายถึง การสู้รบระหว่างพระรามกับทศกัณฐ์ ยกเลิกไปพร้อมๆกับลิงหัวค่ำ
9. ออกรูปรายหน้าบทหรือรูปกาศ ปราย หมายถึง อภิปราย กาศ หมายถึง ประกาศ
รูปปรายหน้าบท หรือ รูปกาศ หรือ รูปหน้าบท เสมือนเป็นตัวแทนนายหนังตะลุง เป็นรูปชายหนุ่มแต่งกายโอรสเจ้าเมือง มือหน้าเคลื่อนไหวได้ มือทำเป็นพิเศษให้นิ้วมือทั้ง 4 อ้าออกจากนิ้วหัวแม่มือได้ อีกมือหนึ่งงอเกือบตั้งฉาก ติดกับลำตัวถือดอกบัว หรือช่อดอกไม้ หรือธง
10. ออกรูปบอกเรื่อง
รูปบอกเรื่อง คือรูปบอกคนดูให้ทราบว่า ในคืนนี้หนังแสดงเรื่องอะไร สมัยที่หนังแสดงเรื่องรามเกียรติ์เพียงเรื่องเดียว ก็ต้องบอกให้ผู้ดูทราบว่าแสดงเรื่องรามเกียรติ์ตอนใด บอกคณะบอกเค้าเรื่องย่อๆ เพื่อให้ผู้ดูสนใจติดตามดู หนังทั่วไปนิยมใช้รูปนายขวัญเมืองบอกเรื่อง
11. ขับร้องบทเกี้ยวจอ
12. ตั้งนามเมืองหรือตั้งเมือง เริ่มแสดงเป็นเรื่องราว
ตั้งนามเมือง เป็นการเปิดเรื่องหรือจับเรื่องที่จะนำแสดงในคืนนั้น กล่าวคือการออกรูปเจ้าเมืองและนางเมือง
โอกาสในการแสดงของหนังตะลุง เดิมหนังตะลุงนิยมแสดงเฉพาะในงานสมโภช เฉลิมฉลอง ไม่แสดงงานอัปมงคล เช่น งานศพ แต่ความเชื่อในเรื่องนี้หมดไป โอกาสแสดงของหนังตะลุงจะแนกออกได้ 3ประเภท ดังนี้
1. งานบ้าน เช่น แก้เหมรย บวชนาค แต่งงาน ขึ้นบ้านใหม่ งานศพ งานสระหัว งานทำบุญบ้าน สวดบ้าน
2. งานวัด เช่น ฝังลูกนิมิต งานฉลองกุฏิวิหาร งานเทศกาลประจำปีของวัด งานชักพระ งานประเพณีทำบุญเดือนสิบ
3. งานจัดรายการ ชาวบ้านเรียกว่างานสวนสนุก มีการแข่งขันประชันโรง เช่น งานแข่งขันกรีฑา งานมหกรรมหนังตะลุง งานปีใหม่ งานสงกรานต์ เอกชนเป็นผู้จัด เพื่อการค้ากำไรเป็นสำคัญ ระหว่างปี พ.ศ.2520-2526 มีงานจัดรายการมากที่สุด ต้องแย่งชิงกันรับหนังที่มีชื่อเสียง ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนตุลาคมว่างเว้นไม่ได้แม้คืนเดียว ส่วนเดือนพฤศจิกายน-เดือนธันวาคม ภาคใต้ฝนตกชุก นักจัดรายการไม่กล้าเสี่ยง ช่วงระยะเวลาดังกล่าว หนังเกิดขึ้นใหม่หลายร้อยคณะทั่วทั้งภาคใต้ ในปัจจุบันมีเหลืออยู่ไม่เกิน 100 คณะ ล้วนแต่มีอายุล่วง 45 ปีไปแล้ว
ลิเกป่า
ลิเกป่าหรือลิเกรำมะนาเป็นการเล่นพื้นเมืองที่น่าสนใจอย่างหนึ่งของชาวเมืองนครศรีธรรมราชและชาวภาคใต้ทั่วไป ไม่ทราบแน่ชัดว่าการละเล่นชนิดนี้มีมาตั้งแต่เมื่อใดคนเก่าคนแก่ของชาวภาคใต้ซึ่งมีอายุมากกว่า 70 ปีแล้วเล่าให้ฟังว่ามีคณะลิเกป่าเล่นกันมานานและเกือบจะพูดได้ว่ามีอยู่เกือบจะทุกหมู่บ้าน โดยเฉพาะที่อำเภอเมืองมีลิเกป่ามากกว่าที่อื่นใดทั้งสิ้น แต่ในปัจจุบันนี้จะหาดูลิเกป่าจากที่ใดในเมืองนครศรีธรรมราชไม่ได้อีกแล้ว
เครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบการแสดง ได้แก่
1. กลองรำมะนา 2-3 ใบ 5. ฉิ่ง 2 คู่
2. กรับ 1 คู่ 6. ปี่ชวา
3. กลองทัด 7. โหม่ง
4. ฆ้อง 8. ระนาด
การแต่งกายของการแสดงลิเกป่า การแต่งกายของตัวแสดงส่วนใหญ่มีชุดอย่างไรก็แต่งกันอย่างนั้น คือตามมีตามเกิด มีมากแต่งมากมีน้อยแต่งน้อย แต่พระเอกจะแต่งกายงามเป็นพิเศษ คือนุ่งผ้าโจรงกระเบน ใส่เสื้อแขนยาว ใส่ทองกร สวมสายสร้อย สังวาล ทับทรวง ถ้ามีชฎา ซึ่งอาจจะทำด้วยกระดาษหรือหนัง ประดับประดาด้วยพลอยหรือกระจกให้แวววาว ส่วนนางเอกก็นุ่งผ้าถุงจีบใส่เสื้อแขนสั้น กำไลเท้า มีผ้าห่มคลุมห้อยพาดหลัง อาจจะสวมใสชฎา
เรื่องที่ลิเกป่านิยมเล่นกันมากได้แก่วรรณคดีเก่าๆ เช่น อิเหนา โคบุตร สุวรรณหงส์ ลักษณวงศ์ เป็นต้น หรือไม่ก็เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเองตามยุคสมัยที่นิยมกันก็มี
ภาษาที่พวกลิเกป่าใช้ ไม่ว่าจะเป็นบทร้องหรือบทเจรจาพวกลิเกป่าจะใช้ภาษาของชาวพื้นเมืองที่ตนถนัดกันเป็นส่วนใหญ่ แต่ถ้าเป็นตัวเอกทั้งฝ่ายหญิงฝ่ายชายจะใช้ภาษาที่ชาวพื้นเมืองเรียกว่าภาษาข้าหลวง คือเป็นภาษากลาง แต่สำเนียงพูดแปร่งๆ ผิดๆ ถูกๆ หรือที่เรียกกันว่า "พูดทองแดง"
ลิเกป่านิยมเล่นกันแถบชนบท บ้านนาบ้านป่า เป็นการหาความสนุกสนานในยามว่างงาน เป็นลิเกสมัครเล่นไม่ได้ยึดถือเป็นอาชีพหลัก นิยมเล่นกันแถบชนบท บ้านนาบ้านป่า เป็นการหาความสนุกสนานในยามว่างงาน เป็นลิเกสมัครเล่นไม่ได้ยึดถือเป็นอาชีพหลัก แต่ถ้าใครรับไปแสดงในงานต่างๆ ก็จะรวมสมัครพรรคพวกไปเล่นได้ อัตราค่าแสดงก็ไม่แน่นอนแล้วแต่ข้อตกลงกับเจ้าภาพ เช่น ระยะเวลาที่แสดง ระยะทางและค่าพาหนะในการเดินทาง เป็นต้น
ลิเกฮูลู
ลิเกฮูลู หรือ ดิเกฮูลู มาจากคำว่า ลิเก หรือดิเก และฮูลู ท่านผู้รู้ได้กล่าวไว้ว่าลิเกหรือ ดิเกมาจากคำว่า ซี เกร์ หมายถึง การอ่านทำนองเสนาะ ส่วนคำว่าฮูลู แปลว่า ใต้หรือทิศใต้ รวมความแล้วหมายถึง การขับบทกลอนเป็นทำนองเสนาะจากทางใต้
ลิเกฮูลู เป็นการละเล่นพื้นบ้านแถบจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ได้รับความนิยมมากของชาวไทยมุสลิม มักจะใช้แสดงในงานมาแกปูโละ งานสุหนัด งานเมาลิด งานฮารีรายอแล้ว คำว่า "ลิเก" หรือ "ดิเกร์" เป็นศัพท์เปอร์เซีย มีความหมาย 2 ประการ คือ
1 . เพลงสวดสรรเสริญพระเจ้า ซึ่งเรียกการสวดดังกล่าวนี้ว่า "ดิเกร์เมาลิด"
2. กลอนเพลงโต้ตอบ นิยมเล่นกันเป็นกลุ่มคณะ เรียกว่า "ลิเกฮูลู" บ้างก็ว่าได้รับแบบอย่างมาจากคนพื้นเมืองเผ่าซาไก เรียกว่า มโนห์ราคนซาไก บ้างก็ว่าเอาแบบอย่างการเล่นลำตัดของไทยผสมเข้าไปด้วย
การตั้งวงคล้ายกับการตั้งวงลำตัดหรือเพลงฉ่อยของภาคกลาง คณะหนึ่งมีลูกคู่ประมาณ 10 กว่าคน ผู้ร้องเพลงและขับร้องมีประจำคณะอย่างน้อย 2-3 คน และอาจมีนักร้องภายนอกวงมาสมทบร่วมสนุกอีกก็ได้ กล่าวคือ คนดูคนใดนึกสนุกอยากร่วมวงก็จะได้รับอนุญาตจากคณะลิเกคล้ายๆ กับการเล่นเพลงบอกภาคใต้ เวทีแสดงยกสูงไม่เกิน 1 เมตร โล่งๆ ไม่มีม่านหรือฉาก ลูกคู่ขึ้นไปนั่งล้อมวงร้องรับและตบมือ โยกตัวเข้ากับจังหวะดนตรี ส่วนผู้ร้อง หรือผู้โต้กลอนจะลุกขึ้นยืนข้างๆ วงลูกคู่ ถ้ากรณีมีการประชันกันแต่ละคณะจะขึ้นนั่งบนเวทีด้วยกัน แต่ล้อมวงแยกกัน การแสดงก็ผลัดกันร้องทีละรอบ ทั้งรุกทั้งรับเป็นที่ครึกครื้นสบอารมณ์ผู้ชม
การแต่งกาย
แต่เดิมผู้เล่นจะโพกหัว สวมเสื้อคอกลม นุ่งโสร่ง บางครั้งอาจเหน็บขวานทำนองไว้ข่มขวัญคู่ต่อสู้ ต่อมามีการแต่งกายแบบการเล่นสิละ แต่ไม่เหน็บกริชหรือถือกริช อาจเหน็บขวาน ในปัจจุบันมักแต่งกายแบบไทยมุสลิมทั่วไปหรือตามแบบสมัยนิยม
เครื่องดนตรี
ประกอบด้วย รำมะนา(รือบานา) อย่างน้อย 2 ใบ ฆ้อง 1 วง และลูกแซ็ก 1-2 คู่ อาจมีขลุ่ยเป่าคลอขณะลูกคู่ร้อง และดนตรีบรรเลง ดนตรีจะหยุดเมื่อมีการร้องหรือขับ ทำนองเดียวกับการร้องลำตัดหรือเพลงฉ่อย ท่วงทำนองปัจจุบันมี 3 จังหวะ คือ สโลว์ แมมโบสเลว์ และจังหวะนาฏศิลป์อินเดีย ซึ่งเนื้อร้องจังหวะใดก็ต้องใช้ร้องกับจังหวะนั้นๆ จะใช้ร้องต่างจังหวะกันไม่ได้
วิธีการเล่น
วิธีการเล่น เริ่มแสดงดนตรีโหมโรงเพื่อเร้าอารมณ์คนดู สมัยก่อนมีการไหว้ครูในกรณีที่มีการประชันกันระหว่างหมู่บ้าน หรืออาจมีหมอผีของแต่ละฝ่ายปัดรังควานไล่ผีคู่ต่อสู้ก็มี ปัจจุบันสู้กันด้วยศิลปคารมอย่างเดียว เมื่อลูกคู่โหมโรงต้นเสียงจะออกมาร้องทีละคน เริ่มด้วยวัตถุประสงค์ของการแสดง หลังจากนั้นก็เริ่มเข้าสู่เรื่องราว อาจจะเป็นเหตุการณ์บ้านเมือง หรือความรักของหนุ่มสาว หรือเรื่องตลก ในกรณีที่มีการประชัน หรือบางครั้งก็เป็นเรื่องราวการกระทบกระแทก เสียดสีกัน หรือหยิบปัญหาต่าง ๆ มากล่าวเพื่อให้ผู้ชมชื่นชอบในคารมและปฏิภาณ
โอกาสและเวลาที่เล่น
แต่เดิมนิยมแสดงในงานพิธีต่าง ๆ เช่น เข้าสุหนัต งานแต่งงาน (มาแกปูโล๊ะ) ปัจจุบันลิเกฮูลูยังแสดงในงานเทศกาลต่าง ๆ ร่วมกับมหรสพอื่น ๆ บางท้องที่ก็แสดงในงานพิธีสำคัญ เช่น พิธีถวายพระพรวันเฉลิมพระชนมพรรษา เป็นต้น
จินตปาตี
เป็นศิลปะการแสดงของมุสลิมทางตอนใต้ ซึ่งต้องอาศัยความอ่อนช้อย นุ่มนวลของผู้แสดง ซึ่งผู้แสดงจะต้องเป็นหญิงล้วน ลีลาของการแสดงอาจจะพลิกแพลงไปตามแต่ละทองถิ่น สำหรับการแสดงชุดนี้ ได้รับการปรับปรุงท่ารำเพื่อให้เหมาะสมกับการแสดงที่เป็นหญิงล้วน
การแสดงชุดนี้ เคยได้นำไปเผยแพร่ยังต่างประเทศ ในงานมหกรรมพื้นบ้านโลก อาทิเช่นประเทศตุรกี ประเทศโปแลนด์ ประเทศบัลแกเลีย ประเทศเกาหลีใต้ ประเทศฟินแลนด์ ประเทศรัสเซีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ฯลฯ โดยสามารถสร้างชื่อเสียงอันดีงามให้แก่ประเทศไทย และเป็นที่
ยอมรับของนานาประเทศสมาชิกสมาพันธ์พื้นบ้านโลกอีกด้วย
การแต่งกาย
แต่งกายเลียนแบบชุดไทย และมีเครื่องประดับ เพื่อให้เหมาะกับชุดนั้นๆ
โอกาสที่ใช้ในการแสดง
ใช้แสดงในงานรื่นเริง และนิยมใช้แสดงในงานประกอบพิธีการต่างๆ
ระบำร่อนแร่
เป็นระบำที่ปรับปรุงขึ้นตามลีลาท่าทางในการประกอบอาชีพของชาวไทยภาคใต้ เป็นการแสดงนาฎลีลาที่ถ่ายทอดวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในท้องถิ่น ถ่ายทอดการทำมาหากินที่แตกต่างจากภูมิภาคอื่น คือการร่อนแร่ดีบุก ซึ่งเป็นอาชีพดั้งเดิม และสร้างรายได้ให้แก่จังหวัดอย่างมหาศาลในอดีตจัดแสดงถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถเมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินเยือนภาคใต้เป็นครั้งแรก ในปี พ.ศ. 2502
ต่อมานักศึกษาระดับปริญญา วิทยาลัยนาฏศิลป์สมทบในคณะนาฏศิลป์และดุริยางค์ วิทยาลัยเทคโนโลยีอาชีวะศึกษา พ.ศ. 2521ได้นำระบำร่อนแร่มาปรับปรุง และเรียบเรียงท่าขึ้นใหม่ โดยใช้เพลง "ตลุงราษฎร์" ซึ่งนายประสิทธิ์ ถาวร ผู้เชี่ยวชาญดนตรีไทยและศิลปินแห่งชาติ เป็นผู้แต่งทำนองเพลง ทั้งนี้อยู่ในความควบคุมของนางสาวปราณี สำราญวงศ์ หัวหน้าภาควิชานาฏดุริยางค์ คีตศิลปศึกษา
อุปกรณ์การแสดง
“เลียง” ซึ่งมีลักษณะกลมคล้ายกระทะ หรือตะแกรง ก้นแหลม สามารถเจาะรูสำหรับร่อนแร่ได้
การแต่งกาย
ในการแสดงใช้ชุดย่าหยา ซึ่งเป็นชุดพื้นเมืองของท้องถิ่น
ระบำบาติก
ระบำบาติก เป็นการแสดงระบำพื้นเมืองในท้องถิ่นของภาคใต้ โดยมีผ้าบาติกเป็นเอกลักษณ์ของการแสดง และที่สำคัญการแสดงชุดนี้เป็นการแสดงที่ถ่ายทอดเรื่องราวของบาติกโดยตรง ผู้แสดงส่วนมากเป็นผู้หญิงล้วน
ลีลาท่าทางของการแสดง
ใช้ความอ่อนช้อยเป็นหลักรำตามจังหวะเพลง ประกอบกับความสวยงามของผู้แสดง
การแต่งกาย
ใช้ผ้าบาติกทั้งชุด และมีเครื่องประดับตกแต่งเพื่อเพิ่มความสวยงาม
โอกาสที่ใช้ในการแสดง
ใช้ในงานพิธีสำคัญต่างๆ
ระบำตารีกีปัส
ตารีกีปัส เป็นระบำที่ต้องอาศัยพัดเป็นอุปกรณ์การแสดงสำคัญ เป็นการแสดงที่แพร่หลายในหมู่ชาวไทยมุสลิม
ลีลาของการแสดงอาจจะมีพลิกแพลงแตกต่างกันไป สำหรับการแสดงชุดนี้ ได้รับการปรับปรุงท่ารำเพื่อให้เหมาะสมกับการแสดงที่เป็นหญิงล้วน
เครื่องดนตรีประกอบการแสดง ได้แก่ ไวโอลิน แมนตาลิน ขลุ่ย รำมะนา ฆ้อง มาลากัส บทเพลงที่ใช้ประกอบการแสดง คือ เพลงตารีกีปัส เป็นเพลงบรรเลงดนตรีล้วนๆ ไม่มีเนื้อร้อง มีท่วงทำนองไพเราะอ่อนหวาน สนุกสนานเร้าใจ ความไพเราะของเพลงตารีกีปัสอยู่ที่การบรรเลงเสียงดนตรีทีละชิ้น
ทำนองเพลงที่ใช้นำมาจากการแสดงชุด “ตาเรียนเนรายัง” ซึ่งเป็นเพลงประกอบการแสดงระบำประมงของชาวมาเลเซีย ส่วนชื่อเพลง คือ อีนัง ตังลุง เป็นเพลงผสมระหว่างมลายูกับจีน
การแต่งกาย มี 2 ลักษณะ คือ
1 .การแต่งกายแบบแสดงคู่ชายหญิง
นิยมแต่งตามลักษณะของชนชั้นสูงของชาวไทยมุสลิมเต็มยศ ได้แก่ ชาย จะใส่เสื้อตือโล๊ะบลางอ มีลักษณะเป็นเสื้อคอกลมหรือคดตั้งแบบจีนแขนกว้างยาวจรดข้อมือ ผ่าอกครึ่งตัว กางเกงจะมีลักษณะเป็นกางเกงขายาวคล้ายกางเกงจีน ผ้านุ่งใช้ผ้ายกเงิน – ยกทอง หรือผ้าซอแกะนุ่งทับกางเกงสั้นเหนือเข่าเล็กน้อย จับเป็นดอกด้านหนึ่งหรือทำจีบทบกัน ๕ จีบ เพื่อเน้นความแปลกใหม่ เข็มขัด ภาษามลายูท้องถิ่นเรียกว่า “เป็นแนะ” มีความกว้างประมาณ ๕นิ้ว คาดทับผ้าซอแกะอีกทีหนึ่งหมวก ทำด้วยผ้าเนื้อดีสีดำ ลักษณะคล้ายหมวกหนีบ
หญิง จะสวมเสื้อ เรียกว่า “บานง” ภาษามลายูกลางจะเรียกว่า “บันดง” ซึ่งเป็นเสื้อเข้ารูปแขนยาว เน้นรูปทรงคอวี ผ่าอกหน้าตลอด มักติดกระดุมทองเป็นระยะ ตัวเสื้อยาวคลุมสะโพก เสื้อบานงมักใช้ผ้าค่อนข้างบาง อาจปักฉลุลวดลายตรงชายเสื้ออย่างสวยงาม และพับริมปกซ้อนไว้ตลอด ผ้าที่นิยมนำมาตัดเสื้อกันมาก คือ ผ้าลูกไม้ ผ้ากำมะหยี่ ผ้าต่วน และผ้าชีฟอง
ผ้านุ่ง ใช้ผ้าซอแกะหรือผ้าปาเต๊ะนุ่งสั้นแค่เข่า ทำเป็นจีบทบกันที่สะโพกทางด้านขวาประมาณ ๕ – ๗ จีบ ตามแบบการนุ่งผ้าของรัฐยะโฮร์ ประเทศมาเลเซียเพื่อเน้นความสะดวกในการร่ายรำ
ผม นิยมเกล้าผมขึ้นติดดอกไม้สีทองทางขวา ปักเรียงเป็นแถว
2 .การแต่งกายแบบผู้หญิงล้วน
เป็นการแต่งกายที่ประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อใช้ในการแสดงชุดพิธีเปิดสนามงานกีฬาเขตแห่งประเทศไทยครั้งที่ ๑๔จ.ปัตตานี พ.ศ. ๒๕๒๔ ซึ่งมีลักษณะสำคัญ คือ เสื้อในนาง ไม่มีแขนสีดำ ผ้านุ่งเป็นโสร่งบาติกหรือผ้าซอแกะ สอดดิ้นเงินทองแบบมาเลเซีย ตัดเย็บแบบหน้านางหรือเลียนแบบจับจีบหางไหล ผ้าสไบ สำหรับคลุมไหล่ จับจีบเป็นใบด้านหน้า
อุปกรณ์ที่ใช้ในการแสดง
ได้แก่ พัด มีลักษณะเป็นแพสีดำขนาดใหญ่ มีการฉลุลวดลายสวยงามปัจจุบันมีการตกแต่งพัดโดยติดแถบสีทองหรือสีอื่นๆ ที่ริมพัด แล้วใช้แพรสีสดตัดเป็นริ้วๆ
โอกาสที่ใช้แสดง
รำตารีกีปัสนิยมใช้แสดงในงานพิธีการ งานฉลอง และงานรื่นเริงทั่วไป
ระบำชนไก่
เป็นศิลปะการแสดงท้องถิ่นของภาคใต้ และถือเป็นการละเล่นอย่างหนึ่งที่ช่วยสร้างความสนุกสนาน
เพลิดเพลินให้กับผู้แสดงและผู้ชม ระบำชนไก่ไม่มีกฎเกณฑ์ว่า ผู้แสดงจะต้องเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ซึ่งจะต้องแสดงเป็นคู่ แต่ส่วนมากนิยมแสดงกันเพียงแค่ 2 คนเท่านั้น
ลีลาท่าทางการแสดง
เลียนแบบพฤติกรรมของไก่
การแต่งกาย
แต่งตัวคล้ายไก่ และ ใส่ขนไก่ด้วย
โอกาสที่ใช้ในการแสดง
ใช้ในการละเล่นพื้นบ้าน และเมื่อมีงานพิธีการต่างๆ
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น